ในช่วงแรกของการทำงานผมได้เงินเดือนที่น้อยมาก ไม่มีโอกาสคิดเรื่องเงินเก็บเลย แค่ใช้ให้พอในแต่ละเดือนก็ยากแล้ว
ผมเริ่มทำงานแรกในบริษัทญี่ปุ่น จริงอยู่ว่าปกติแล้วภาษาญี่ปุ่นจะทำเงินได้มากเมื่อทำงานกับบริษัทญี่ปุ่นแต่งานของผมนั้นได้เงินน้อย และผมมีโอกาสเลือกงาน กว่าจะได้งานนี้มาก็หืดขึ้นคอแล้ว
คนญี่ปุ่นที่รู้จักเคยมาถามเงินเดือนผม พอผมตอบไปเค้าตกใจมาก ถามกลับมาว่า “แล้วอย่างนี้จะพอกินเหรอ”
ในตอนนั้นผมไม่รู้สึกอะไรมาก เพราะคนได้น้อยกว่าผมหรือได้พอๆกับผมก็มีอยู่เยอะ
ช่วงนั้นผมทำงานตลอด 7 วัน ไม่มีวันหยุด ทำงานที่บริษัทจันทร์ถึงเสาร์ แต่วันเสาร์จะทำครึ่งวัน
ในวันอาทิตย์ผมรับจ็อบพิเศษสอนหมากล้อมให้กับเด็กๆ
แม้จะทำงานตลอด 7 วัน แต่รายได้ต่อเดือนของผมไม่ถึง 15000 บาท
ผมรู้ว่าเพื่อนผมที่จบคณะและเอกเดียวกันหลายคนจบใหม่ๆได้เงินตั้งแต่ 18,000 – 30,000 บาท
เพื่อนๆพวกนี้ไม่ได้จบปริญญาโท ยังผ่านการสอบภาษาญี่ปุ่นระดับ 2
เค้ากับผมมีอะไรต่างกันเหรอ? ทำไมรายได้ถึงต่างกันขนาดนั้น
สิ่งที่ผมคิดออกคือ
-พวกเค้าเหล่านั้นเลือกทำงานในโรงงานต่างจังหวัดจึงสามารถเรียกเงินได้เยอะกว่าทำงานในเมืองซึ่งหาคนได้ง่ายกว่า
-เค้ามีความสามารถในการสนทนาภาษาญี่ปุ่นที่ดีกว่าผม
-เกรดเค้าดีกว่าผม
ผมจึงคิดว่าเรื่องไปทำต่างจังหวัดไม่ใช่ปัญหา แต่กลัวว่าไปแล้วอาจจะไม่รับเราก็ได้หากเรายังไม่เก่งพอ และเรื่องเกรดมันป็นสิ่งที่แก้ไม่ได้แล้ว
เพราะฉะนั้นเราต้องเก่งภาษาญีปุ่นก่อน สิ่งนี้น่าจะเป็นสิ่งที่แตกต่างอย่างมากและจะทำให้รายได้ของเราเพิ่มได้
หากรายได้เราเท่านี้ เราไม่เหลือกระแสเงินสดอะไรเลยในแต่ละเดือนที่จะมาลงทุนต่อ ซึ่งถือว่าเป็นแผนการสร้างความร่ำรวยในช่วงแรกของชีวิต
ผมรู้มาว่าคนที่ได้ภาษาญี่ปุ่นระดับ 2 จะมีเงินเดือนมากกว่า 25000 บาท
ผมจึงตั้งใจว่าจะสอบภาษาญีปุ่นระดับ 2 ให้ผ่านเพื่อจะได้เพิ่มเงินเดือนตัวเอง
ในช่วงนั้นเพื่อนๆผมก็เริ่มมีความคิดจะไปญี่ปุ่นเพื่อฝึกภาษา ผมคิดว่าทุกคนคงตระหนักได้เหมือนกันว่าภาษาญี่ปุ่นที่ได้เรียนแค่จากมหาวิทยาลัยยังไม่เพียงพอต่อการทำงาน
คนที่มีเงินจากที่บ้านก็ถือว่าโชคดี แต่คนที่ไม่มีก็พยายามเก็บตังกันไป
ผมคิดว่าหากมีเงินแล้วได้ไปเรียนที่ญี่ปุ่นถือว่าเป็นสิ่งที่คุ้มค่า เพราะผลตอบแทนที่จะได้รับจากการใช้ภาษาญี่ปุ่นในการทำงานนั้นสามารถเลี้ยงเราได้ไปตลอดชีวิต
แต่ผมไม่ได้ต้องการรายได้จากการทำงานไปตลอดชีวิต ผมอยากทำงานจนถึงอายุ 40 แล้วเกษียณ
เงินเก็บจึงยังคงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผมเพื่อจะใช้เงินเก็บไปทำงานแทนผม
ผมจึงเลือกเรียนภาษาญี่ปุ่นในไทย
หลังจากนั้น 1 ปี ผมก็สอบวัดระดับ 2 ผ่าน
ผมเริ่มหางานที่ให้เงินดีได้ง่ายขึ้น แต่สิ่งที่สำคัญกว่าใบวัดระดับคือ ความสามารถที่เพิ่มมากขึ้นจากการฝึกฝน และการทำงาน
ในช่วงแรกของการทำงานผมโดนด่าบ่อยมาก มีคนไม่ยอมรับผมมากมายและมีปัญหาในเรื่องภาษาญี่ปุ่นมาก เป็นล่ามที่ไม่มีคนเชื่อถือ รู้เลยว่าเรียนแค่ 4 ปี ในมหาวิทยาลัยยังไม่เพียงพอ เข้าใจว่าเพื่อนๆที่อยากไปเรียนต่อญี่ปุ่นก็คงตระหนักแบบเดียวกัน
แต่ความลำบากเหล่านั้นถือเป็นเรื่องธรรมดา เป็นกระบวนการเรียนรู้ที่ทุกคนต้องเจอเมื่อเริ่มเข้าสู่โลกของการทำงาน
ในตอนที่โดนด่า โดนว่า อย่าพึ่งคิดว่าเราอ่อนหัด เราไม่ดี
ผมมีรุ่นพี่อยู่คนนึง ตอนที่เค้าจบการศึกษาเค้าได้ทุนไปเรียนต่อญี่ปุ่น 1 ปีแล้วก็สอบภาษาญี่ปุ่นระดับ1 (ซึ่งถือเป็นขั้นสูงสุดของภาษาญี่ปุ่น) หลังจากกลับไทยก็เริ่มทำงานเป็นล่าม แม้ว่าจะเป็นระดับ 1 แต่พี่เค้าก็โดนด่า โดนว่า โดนตำหนิอยู่ตลอดเวลาเหมือนกัน
น้องอีกคนได้ระดับ 1 เหมือนกัน ตอนที่มาทำงานใหม่ๆก็มีแปลมั่วจนคนรอบข้างเริ่มไม่ไว้ใจ เป็นล่ามที่คนไม่เชื่อถือ
ผมเคยเชื่อว่าคนที่ทำงานไม่เก่ง หรือมีทักษะภาษาญี่ปุ่นที่ยังไม่เก่งเท่านั้นที่จะโดนด่า แต่นี่ขนาดว่าเก่งระดับนี้แล้วก็ยังโดน
แสดงว่าเกือบทุกคนต้องผ่านขั้นตอนการเรียนรู้นี้เหมือนๆกันทุกคน จึงเป็นธรรมดาที่จะต้องโดนด่า โดนว่า แต่พอเราเข้าใจมันและปรับการทำงานให้คนอื่นยอมรับได้ การทำงานของคุณจะคล่องตัวมากขึ้น
ในเส้นทางวิชาชีพอื่นก็เหมือนกันผมเชื่อว่าคนเก่งยังไงก็ได้เงินที่เยอะขึ้น ก่อนที่จะเริ่มลงทุน หรือหาวิธีทำเงินจากแหล่งอื่น ลองเพิ่มทักษะให้งานตัวเองให้เยอะก่อน มันอาจจะทำให้รายได้เพิ่มขึ้นได้ง่ายกว่า และไม่ต้องลงทุนอะไรนอกจากเวลาและแรงกาย
เวลาหรืออายุงานอาจจะเป็นสิ่งที่ทำให้เงินเดือนเพิ่มขึ้น แต่ทักษะที่เพิ่มขึ้นนั้นช่วยเร่งให้เงินเดือนเพิ่มได้เร็วกว่า
และพอเงินเดือนเพิ่มแล้วค่อยเอาเงินที่เพิ่มขึ้นนี้ไปลงทุนในแหล่งอื่นต่อ
เงินที่น้อยนั้นยากที่จะเข้าถึงการลงทุนที่ดีได้ ผมคิดว่าหากอยากจะรวยยังไงก็ต้องเพิ่มรายได้ก่อน
บทความจาก www.toytorich.com/article
ติดต่อ 084-919-5600,098-424-7672 Email: toytorich@gmail.com
Facebook : www.facebook.com/toytorich Line : @toytorich